“พูดจาภาษาเด็ก” (พ่อแม่ทุกคนควรอ่าน)
เรื่องที่ 1 : “คำมั่นสัญญา” เสียงกรีดร้องของเด็กที่ได้รับการขัดใจ กลางศูนย์การค้าใหญ่แห่งนั้น เรียกร้องความสนใจมิใช่น้อยจากผู้คนคับคั่งของบ่ายนั้น
เจ้าของเสียงเป็นด.ช.วัยไม่เกิน6ขวบ ร่างกลมป้อม ผิวขาว ผมหยักสลวย ขณะนั้น..แกสลัดมือจากผู้ปกครองลงดิ้นปั่ดๆกับพื้นร้องไห้โฮๆ อย่างไม่อายใคร ต่อด้วยคำรำพัน
“คนอะไร!พูดแล้วไม่ทำตามสัญญา” “เอาเถอะ…เอาเถอะ…แล้วสิ้นเดือนจะซื้อให้” ผู้หญิงซึ่งคงเป็นมารดา ก้มลงฉุดด้วย คงจะอายต่อสายตา ซึ่งจับจ้องมาเป็นจุดเดียวเต็มทีแล้ว
แต่พอได้ยินประโยคนั้น พ่อเทวดาน้อยยิ่งแผลงฤทธิ์ ตะเบงขึ้นสุดเสียง “ไม่เชื่อ…เดี๋ยวแม่ก็หลอกเค้าอีก บอกอย่างนี้มาตั้งหลายหนแล้ว คนอะไร พูดแล้วก็ไม่ทำตามที่พูด คนโกหก!”
ผู้เป็นพ่อควักผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อขณะที่เหลียวมองรอบๆด้วยสีหน้าเจื่อนๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจก้มลงคว้าลูกขึ้นมา เดินลิ่วๆออกประตูไป มองเห็นแขนขาของพ่อหนูกวัดไกวอย่างไม่ยอมแพ้ จนลับตาและเสียงตะโกน “คนโกหก คนไม่ทำตามคำพูด”
ใครๆ ที่พบเห็นเหตุการณ์บ่ายนั้นต่างพากันหัวเราะขบขัน ปัญหา ลูกแผลงฤทธิ์จะเอาโน่น เอานี่มีอยู่เสมอจนดูเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปเสียแล้ว แต่เราเคยคิดกันว้างหรือเปล่าว่าเบื้องหลังคำรำพึงรำพันว่า”คนโกหก…พูดไม่ จริง…ไม่ทำตามสัญญา”นั้นมีใครเคยไปสัญญาอะไรไว้กับแกบ้าง
มีบ้างไหม ที่ลูกๆทะเลาะกันแย่งของกัน คุณแก้ปัญหาไม่ตกก็เลยตัดสินด้วยประโยคที่ว่า “ให้น้องไปก่อน แล้วแม่จะซื้อให้ใหม่” มีบ้างไหมที่ลูกรบเร้า จะไปโน่น ไปนี่จนคุณรำคาญ ก็เลยสัญญาส่งๆ พอให้แกเลิกมายุ่งกับคุณว่า… “สิ้นเดือนจะพาไป”
มีบ้างไหม …ที่คุณสัญญากับแก เพียงให้พ้นจากภาวะเฉพาะหน้าด้วยถ้อยคำลักษณะดังนี้ “ให้งานเสร็จก่อน” “พรุ่งนี้จะพาไป” “วันหลังจะซื้อให้” “ไว้อีกหน่อยก่อน” ฯลฯ
เด็กส่วนมาก ยึดถือคำมั่นสัญญาที่พ่อแม่ให้กับแกอย่างเหนียวแน่น แกไม่เคยเข้าใจหรอกว่า”วันหลัง”หรือ”อีกหน่อย”ที่คุณสัญญากับแกนั้น มีระยะเวลาเนิ่นนานสักเพียงไหน
ในขณะที่ “วันหลัง” ของผู้เป็นพ่อแม่ อาจหมายถึงระยะเวลาที่พอจะซื้อข้าวของนั้นๆให้แกได้โดยที่ตัวเองไม่เดือดร้อน แต่สำหรับลูกๆแล้ว”วันหลัง”ของแกก็คือ เวลาใดก็ได้ที่ไปเจอะเจอสิ่งของนั้นๆเข้า
หรือคำผลัดผ่อนของคุณที่ว่า”ให้งานเสร็จ” ทันทีที่คุณวางดินสอจากเส้นสายบนกระดาษที่โต๊ะเขียนแบบ แกก็คิดว่าถึงเวลาที่คุณควรจะพาแกไปเที่ยวได้แล้ว แกยังไม่รู้จักขั้นตอนของงานว่า กว่าจะเรียบร้อยลุล่วงไปโครงการหนึ่งๆนั้น จะต้องผ่านการตรวจ…การแก้ กี่ครั้งกี่หน
ความรู้สึกนึกคิดของผู้ใหญ่และเด็กไม่เท่าเทียมกัน ถ้าไม่แน่ใจว่า จะสามารถทำอะไรได้ในช่วงเวลาอันจำกัด ก็จงอย่าไปใ้คำมั่นสัญญากับแกเป็นอันขาดว่า “พรุ่งนี้จะซื้อให้” “งานเสร็จจะพาไป” “อีกหน่อย…” หรือถ้าจะสัญญากับแก คุณก็จะต้องอธิบายให้แกเข้าใจถึงระยะเวลาดังกล่าวโดยถี่ถ้วน เพื่อให้แกตรึกตรองเอาเองว่าแกจะสามารถรอคอยเวลานั้นๆได้หรือไม่
คำสัญญาที่ให้แก่เด็ก เพียงเพื่อให้พ้นจากปัญหาเฉพาะหน้าชั่วครั้งชั่วคราว โดยคุณไม่ได้คิดที่จะปฏิบัติตามนั้น จะทำให้คุณไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากแกอีกต่อไป คิดดูเถิดว่า คุณจะต้องสะเทือนใจเพียงไร เมื่อได้ยินแกตะคอกใส่ว่า “คนโกหก พูดแล้วไม่ทำตามสัญญา!”
เรื่องที่ 2 : “แม่ปูลูกปู”พ่อเบรครถกึกจนบอยหัวทิ่ม ถ้าไม่จับพนักไว้ทันก็คงได้หัวโนหรือปากเจ่อกันบ้าง อารมณ์ของพ่อเดือดปุด แต่ยังไม่ทันจะอ้าปาก บอยซึ่งยืดคอขึ้นมองตามสาวน้อยวัยรุ่น 2 คนเพิ่งจะเดินนวยนาดตัดหน้ารถไปอย่างทองไม่รู้ร้อน และหัวร่อต่อกระซิกกันราวกับเดินอย่างถูกต้องบนทางม้าลาย ก็โผล่หน้าออกไปตะโกนสุดเสียง “โธ่…อีหนู! เดี๋ยวก็ไม่ได้มีผัวหรอก!”
ทำให้พ่อสะดุ้งเฮือก ผรุสวาจาเผ็ดร้อนอยู่เพียงริมฝีปาก มองดูบุตรชายวัยเพียง 5 ขวบ ยังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลด้วยซ้ำไป แล้วก็ถามซ้ำอย่างไม่แน่ใจนัก “บอยว่าอะไรนะ?”
พ่อหนูเอ่ยซ้ำด้วยน้ำเสียงใสไร้เดียงสา ดูหน้าตาของแกแทบไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าแกเข้าใจประโยคที่เอ่ยออกมาทุกถ้อยกระทงความ “บอยช่วยว่าให้พ่อไง เห็นพ่อว่าอย่างงี้ทุกที เวลาพ่อโกรธ”
แววตาบริสุทธิ์นั้นทำให้พ่อดุแกไม่ลง นิ่งอยู่ซักพักก่อนที่จะออกรถไปอย่างระมัดระวัง ระวังทั้งการขับรถและระวังทั้งคำพูดวาจา ซึ่งมักหลุดออกไปโดยลืมคิดถึงผู้นั่งอยู่ด้วย เขาผู้นั้นอายุเพียง 5 ขวบ กำลังพร้อมที่จะรับฟัง และจดจำทุกสิ่งทุกอย่างจากผู้ที่อยู่ใกล้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่แกนึกว่าเป็นสิ่งงที่ถูกต้องดีงาม แกยังไม่รู้จักตริตรองหรอกว่า คำไหนพ่อพูดได้ แต่แกพูดแล้ว จะเป็นสิ่งที่ไม่สมควรไป…
อีกรายหนึ่ง แม่เพิ่งรับลูกกลับจากร.ร.ด้วยความอ่อนระโหยเป็นพิเศษ วันนี้งานเยอะ จนแม่แทบไม่ได้เงยจากโต๊ะทำงาน กว่าจะขับรถฝ่าการจราจรที่ติดขัดเช่นเคยทุกวัน กว่าจะค้าหาลูกสาวจากกลุ่มเพื่อนๆกลางสนาม และกว่าจะพารถค่อยๆเคลื่อนไปตามถนนด้วยเกียร์ 1 2สลับกันอยู่แค่นั้น แม่ก็เหงื่อตก หน้าซีดเซียว จนแม่หนูวัย 7 ขวบต้องถามขึ้น
“แม่เป็นอะไรจ๊ะ” “แม่เหนื่อยจังเลยวันนี้ ปวดหัวด้วย ต้องขับรถระวังๆหน่อย” “โอ๋..ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” แกปลอบผู้เป็นมารดา “แม่ขับรถไปเรื่อยๆนะจ๊ะ ถ้าใครมันบีบแตร หรือว่าอะไรแม่ก็อย่าไปฟัง หนูจะด่าให้เอง”
แม่ชงัก เกือบจะหายจากความป่วยไข้ในทันที พึมพำอย่างงงๆ “ด่าเหรอคะ” “ไอ้บ้า บีบอยู่ได้ เก่งจริงก็แซงขึ้นไปซีวะ จะรีบไปหาพ่อหาแม่ก็ไป เดี๋ยวจะตายซะก่อนหรอก”
แม่หนูเอ่ยฉาดฉานเพื่อยืนยันความมั่นใจให้แม่ หน้าของผู้เป็นมารดาเจื่อนลงทุกที ก็มันคำพูดของแม่ทั้งนั้นนี่นา ตั้งแต่เริ่มขับรถ แม่ก็เริ่มปากจัดโดยอัติโนมัติ และก็มักจะลืมไปทุกทีว่ามีลูกสาวน้อยนั่งอยู่ด้วยข้างหลัง แกกำลังอยู่ในวัยสังเกตจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาของแก
“หนูอย่าพูดอย่างนั้นอีกนะคะ มันไม่น่าฟังเลย” แม่เตือน ดวงหน้าของลูกสาวปรากฏความพิศวง แม้ว่าแกจะไม่ปริปาก แต่ว่าสายตาของแกก็สงสัยอยู่ชัดๆว่า “ทำไมแม่พูดได้ แต่หนูพูดไม่ได้”
อีกมุมหนึ่ง ผู้ปกครองซึ่งอาจจะเป็นมารดา หรือป้า หรือน้า กำลังละล้าละหลังจูงเด็กข้ามถนน รถยนต์เลี้ยวหัวมุมมาโดยเร็ว และก็เบรคเสียงสนั่นห่างทางม้าลายเพียงคืบเดียว จะด้วยความโกรธ หรือตกใจก็ตามแต่ คำด่ายาวเหยียดก็หลุดออกมาโดยไม่ได้คิดถึงพ่อหนูแม่หนูที่กำลังจูงอยู่
แน่ละ…ถ้อยคำที่หลุดออกมาโดยมิได้กลั่นกรองเหล่านี้ถูกบันทึกเอาไว้แล้ว เท่าที่แกจะจดจำได้ และเมื่อไหร่ที่สบโอกาส แกก็จะนำเอามาใช้อย่างเหมาะสม อย่างไม่น่าเชื่อ
ก็เมื่อแม่ปูเดินส่ายไปมาไม่ตรงทาง แล้วจะบังคับลูกปูเดินถูกทิศทางได้อย่างไร เด็กๆในวัยนี้นิยมชื่นชมพ่อของแกว่าเป็นวีรบุรุษ และแม่ก็คือวีรสตรีคนเดียวในความรู้สึกของแก ฉะนั้น…พึงระลึกไว้ตลอดเวลาว่า … ไม่อยากให้ลูกเป็นอย่างไร ก็อย่าทำสิ่งนั้นให้แกเห็นเลย |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น