บทสัมภาษณ์ : คุณแม่ผู้ดูแลน้องซึ่งเป็นเด็กพิเศษ

วันนี้ได้โอกาส ขอเปิดห้องสัมภาษณ์คุณแม่ท่านแรก ที่มีเรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับตัวคุณแม่และคุณลูก เพื่อเป็นโยชน์ต่อเพื่อนๆ สมาชิกค่ะ

โดยส่วนตัวแล้ว เพิ่งจะมีลูกคนแรก เลยค่อนข้างเป็นกังวลในเรื่องต่างๆ มากพอสมควร
ได้เข้าไปอ่านข้อมูลในเวปไซต์ StillSmile.Net แล้วรู้สึกว่ามีประโยชน์มากมาย

ได้รู้จักกับคุณแม่เจ้าของเวปไชต์มานานแล้ว แต่เพิ่งได้ทราบข้อมูลจากทางเวปไซต์ว่า คุณแม่มีน้องเป็นเด็กพิเศษ ซึ่งจากการอ่านบทความหลายบทความในเวปไซต์ ทำให้ทราบว่า เป็นคุณแม่ที่ทุ่มเทเพื่อลูกมากๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว

วันนี้เลยอยากนำบทสัมภาษณ์ มาทำการเผยแพร่ เพื่อเป็นการให้ความรู้กับสมาชิกท่านอื่นๆ และเป็นประโยชน์ในการสังเกตลูกๆ ของเราเองด้วยค่ะ

janistar : น้องอายุเท่าไหร่แล้วคะ ?  ช่วยแนะนำตัวคุณแม่และคุณลูกคร่าวๆ หน่อยสิคะ ?
StillSmile.Net : ตอนนี้อายุห้าขวบแล้วค่ะ เป็นเด็กหล่อใส สไตล์เกาหลีค่ะ ตอนนี้อยู่ชั้นอนุบาลสองแล้วค่ะ


janistar : น้องเลี้ยงยากมั้ยคะ ?
StillSmile.Net : เลี้ยงไม่ค่อยยากค่ะ เป็นเด็กน่ารัก เข้ากับคนอื่นได้ง่าย


janistar : ทราบจากทางเวปไซต์ StillSmile.Net ว่าน้องเป็นเด็กพิเศษ จากที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า เด็กที่เป็นเด็กพิเศษ จะไม่สบตา ไม่ตอบสนองทางด้านอารมณ์ ชอบอะไรซ้ำๆเดิม  เราจะมีวิธีการสังเกตอย่างไรคะว่าลูกเป็นเด็กพิเศษ หรือไม่ ? และจะแนะนำพ่อในการสังเกตลูกอย่างไรคะ ?
StillSmile.Net : ไม่สบตา ไม่พาที นี่เป็นประการแรกเลยค่ะ จริงๆแล้วเด็กทารกทุกคนจะมีความออทิสติกอยู่ในตัวค่ะ แต่เด็กปกติจะมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นไปตามวัย ในขณะที่เด็กออทิสติกจะมีพัฒนาการด้านใดด้านหนึ่งช้า หรือว่าบกพร่อง วิธีการสังเกตลูก ให้ดูเรื่องพัฒนาการเป็นหลักค่ะ ว่าเขาสามารถทำสิ่งต่างๆที่เด็กในวัยเดียวกันทำได้ไหม หรือหากมีพัฒนาการด้านใดบกพร่อง ให้ค้นหาสาเหตุก่อนว่าบกพร่องเพราะอะไร แก้ไขได้หรือไม่ แล้วลองเปรียบเทียบพัฒนาการด้านอื่นอีกหลายๆด้านค่ะ


janistar : เราสามารถทราบว่าลูกเป็นเด็กพิเศษ ได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่  ?
StillSmile.Net : อย่างที่บอกไปในข้อตะกี้ ว่าเด็กทารกทุกคนจะมีความออทิสติกอยู่ในตัว จึงไม่สามารถแยกได้อย่างชัดเจน จนกว่าจะอายุสักประมาณ 1 ปี 3-6 เดือนค่ะ เพราะเป็นช่วงที่ลูกจะเริ่มมีพัฒนาการด้านความสัมพันธ์และการสื่อสารกับคนรอบข้างอย่างชัดเจนแล้ว นอกจากว่ากรณีที่เด็กแสดงความบกพร่องมาตั้งแต่กำเนิด เช่นมีอาการของโรคลมชัก


janistar : คุณแม่คิดว่า เมื่อพ่อแม่ทราบว่า...ลูกเป็นเด็กพิเศษ ควรทำอย่างไร ?
StillSmile.Net : ตั้งสติก่อนเลยค่ะ เชื่อว่าทุกครอบครัวที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็คงอยู่ในภาวะใจสลาย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการจมปลักอยู่ในความทุกข์ หรือการโทษตัวเอง โทษคนอื่น นั่นก็คือการร่วมแรงร่วมใจกัน เพื่อให้ลูกสามารถดำรงชีวิตต่อไปในสังคมให้ได้ค่ะ


janistar : ปัญหาโดยทั่วที่ต้องเจอในการเลี้ยงดูเป็นอย่างไร ?
StillSmile.Net : ปัญหาโดยทั่วไปก็คงเป็นเรื่องของพัฒนาการของเด็กเองน่ะค่ะ การจะสอนให้เด็กออทิสติกเรียนรู้หรือเข้าใจอะไรสักอย่างหนึ่ง เราไม่สามารถสอนให้เขารู้เรื่องได้ในครั้งเดียว ตัวผู้เลี้ยงดูเองก็ต้องมีความเข้าใจ มีความอดทน และต้องมีความตั้งใจมากๆเลยทีเดียว บางครั้งผู้ปกครองอาจจะไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นยังไง อันนี้ก้แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือนักกิจกรรมบำบัด ซึ่งปัจจุบันก็มีมากมายหลายแห่งทั้งของรัฐ และเอกชน


janistar : เคยอ่านเจอมาว่าพ่อแม่บางคนพอทราบว่าลูกเป็นเด็กพิเศษ หรืออื่นๆ มักจะเอาลูกไว้ในบ้าน ไม่อยากให้ออกไปเจอผู้คน คุณแม่มีความคิดเห็นตรงนี้อย่างไรคะ ?
StillSmile.Net : อยากให้พ่อแม่พึงระลึกไว้ว่า เราไม่สามารถอยู่ดูแลเขาได้ตลอดชีวิต การกักลูกไว้ไม่ให้เจอผู้คน พ่อแม่อาจจะคิดว่าทำไปเพื่อปกป้องลูก แต่ก็เท่ากับว่าปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาของลูกเอง แล้วถ้าวันหนึ่งไม่มีพ่อแม่อยู่แล้ว ลูกจะใช้ชีวิตอยู่ลำพังได้อย่างไง


janistar : เหมือนเคยอ่านเจอว่ากรณีของน้องเกิดจากการเลี้ยงดู อยากทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรคะ ? แล้วจะแนะนำพ่อแม่มือใหม่ท่านอื่นๆ อย่างไร ?
StillSmile.Net : กรณีของน้อง สันนิษฐานว่าเกิดจากการป่วยค่ะ เพราะตอนนั้นน้องเขาไม่สบาย มีไข้ขึ้น และมีอาการชักจนสลบไปประมาณห้านาที ขณะนั้นก็อายุประมาณขวบครึ่งพอดี  ก่อนหน้านั้นพัฒนาการของน้องค่อนข้างปกติ และเริ่มหัดพูดได้บ้างสองสามคำแล้ว พอหลังจากหายป่วย เราเริ่มรู้สึกว่าน้องเขาจะมีบางอย่างเปลี่ยนๆไป พัฒนาการด้านการพูดก็ชะงัก จนถึงขึ้นถอยหลัง ชอบพูดภาษาต่างดาว บลาๆๆไปเรื่อยเปื่อย  จนกระทั่งมีเพื่อนคนหนึ่งทักว่าลักษณะการพูดเหมือนหลานของเขาที่เป็นออทิสติกเลย ทำให้เราเริ่มรู้สึกมองเห็นความผิดปกติมากขึ้น จนตัดสินใจพาลูกเข้าไปตรวจอย่างละเอียดกับจิตแพทย์ ตอนนั้นวิ่งวุ่นหลายที่มาก ตรวจหู ตรวจคลื่นสมอง ตรวจพัฒนาการ ไปหาจิตแพทย์ เอ็กซ์เรย์ ทำทุกอย่างเลย ตอนนั้นก็แอบหวัง ว่าคงจะมีผลการตรวจอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่จะบอกว่าลูกเราไม่เป็นอะไร แต่สุดท้าย ก็ต้องยอมรับ ว่าลูกเราเข้าข่ายออทิสติกจริงๆ
สำหรับพ่อแม่ท่านอื่นๆ ก้อยากให้ดูไว้เป็นอุทาหรณ์ค่ะ ว่าบางทีการเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆของลูก อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นในภายหลัง  และให้หมั่นสังเกตความผิดปกติต่างๆที่อาจเกิดขึ้น จะได้ป้องกันแก้ไขได้อย่างทันท่วงที



janistar : การพาลูกเข้าโรงเรียนในระดับชั้นต่างๆ มีปัญหาบ้างหรือไม่ อย่างไรคะ ?
StillSmile.Net : มีปัญหาแน่นอนค่ะ ถึงแม้ว่าโรงเรียนต่างๆจะสนับสนุนให้มีการเรียนร่วม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้อย่างเต็มที่ 100% เพราะบุคลากรก็มีจำนวนจำกัด ในขณะที่เด็กพิเศษก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากต้องการให้ลูกสามารถเข้าโรงเรียนเรียนร่วมกับเด็กปกติได้ พ่อแม่เองก็ควรเตรียมความพร้อมให้ลูก ให้สามารถช่วยตัวเองได้ และสงบนิ่งพอที่จะไม่รบกวนครูและเพื่อนคนอื่นๆมากเกินไป หรือหากจะให้เข้าโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษโดยเฉพาะ ก็ต้องเตรียมความพร้อมให้ลูกสามารถช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่งเช่นเดียวกัน
เด็กพิเศษที่ผ่านการฝึกฝนและปรับพฤติกรรมแล้ว ก็สามารถเข้าโรงเรียนได้ และมีโอกาสเรียนรู้ได้เหมือนเด็กปกติ เด็กพิเศษที่เคยเจอมา บางคนไอคิวสูงถึงร้อยยี่สิบเชียวนะคะ  บางคนก็สามารถเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยได้ในคณะแพทย์ วิศวะ สามารถทำงาน มีอาชีพได้เหมือนคนทั่วๆไป
อย่างน้องเอง กว่าจะได้เข้าชั้นอนุบาล ก็ถูกปฎิเสธจากโรงเรียนต่างๆมาเยอะเลยค่ะ เพียงเพราะเขาเป็นเด็กพิเศษ บางโรงเรียนยังไม่ทันได้เห็นตัวด้วยซ้ำ แต่เรามั่นใจในตัวลูกของเรา ว่าเขาเรียนรู้ได้ และเราพยายามฝึกและปรับพฤติกรรมเขาถึงสามปีเต็ม เพื่อให้สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนปกติได้  จนกระทั่งได้มาเจอโรงเรียนแห่งหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ลูกเข้าไปลองทดสอบก่อน ก็ปรากฏว่าผลเป็นที่น่าพอใจ และก็ได้เข้าอนุบาลสองเลย ไม่ต้องผ่านอนุบาลหนึ่ง  เวลาเรียนคุณครูจะสอนหน้าชั้นก่อน และค่อยเข้ามาสอนลูกเราแบบตัวต่อตัวอีกหนึ่งรอบ ก็รู้สึกโชคดีเหมือนกัน ที่ได้เจอโรงเรียนที่คุณครูเข้าใจ วันแรกที่ลูกเอาสมุดที่เขาเรียนกลับมาบ้าน ก็อึ้งไปเหมือนกัน เพราะเขาทำแบบฝึกหัดได้ถูกต้องหมด ยังสงสัยอยู่ว่าทำเองแน่หรือ ก็เลยลองเขียนแบบฝึกหัดแบบคล้ายๆกัน แล้วให้เขาลองทำดู ปรากฏว่าลูกทำเองได้จริงๆ ก็แอบหวังว่าลูกเราจะพัฒนาไปได้เรื่อยๆ ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร ขอแค่มีโอกาสก็พอ



janistar : เชื่อว่าต้องมีบ้าง เวลาที่เหนื่อยมากๆ แล้วคุณลูกโยเยมากๆ มีวิธีจัดการจัดการกับอารมณ์ของทั้งคุณแม่ และคุณลูกอย่างไรคะ เวลาเกิดอาการ “ปรี๊ด”  ขึ้นมา
StillSmile.Net : ในกรณีที่ไม่ไหวจริงๆ ผู้เลี้ยงดูควรเดินออกจากตรงนั้นมาก่อนเลยค่ะ สงบสติอารมณ์ตัวเองก่อน และพยายามอย่าแสดงอาการใดๆที่เป็นการตอบสนองความโยเยเอาแต่ใจของลูก  อย่าโอ๋ และอย่าดุ ให้ทำเฉยๆไว้ เพื่อให้ลูกเรียนรู้ว่าความดื้อหรือโยเย ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลย จนกระทั่งลูกเองก็สงบนิ่งแล้ว ค่อยเข้าไปเจรจากันอีกทีค่ะ ผู้ปกครองควรมีใจเมตตา และระลึกไว้ว่าลูกไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมาเป็นแบบนี้ บางครั้งเขาอาจจะอยากสื่อสารอะไรบางอย่างออกมา แต่ไม่รู้จะแสดงออกอย่างไร ก็เลยแสดงออกมาในรูปของการโยเย งอแง ปัญหาพวกนี้จะสามารถแก้ไขได้ในระยะยาว โดยอาศัยความอดทน และมีการปรับพฤติกรรมของลูกอย่างเหมาะสมค่ะ


janistar : สุดท้ายมีอะไรอยากฝากถึงพ่อแม่ท่านอื่นๆบ้างคะ ?
StillSmile.Net : ปัญหาทุกอย่าง จะสามารถผ่านพ้นไปได้ ด้วยความรักและสติค่ะ สำหรับพ่อแม่แล้ว ไม่มีอะไรที่มีค่ามากไปกว่า การได้เห็นลูกของเราได้มีชีวิตที่มีความสุข และสำหรับลูกเองแล้ว พ่อแม่ก็คือกำลังสำคัญที่จะช่วยสร้างให้เขาเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงทั้งกายใจ ดังนั้น สู้ๆนะคะ
^ ^



(ขอสงวนชื่อคุณแม่ และคุณลูก เพื่อปกป้องสิทธิของน้องค่ะ)

ความคิดเห็น