คำพยานจาก บอย โกสิยพงษ์

 คำพยานจาก บอย โกสิยพงษ์


 

เพราะชีวิตคือชีวิตเมื่อมีเข้ามา ก็มีเลิกไป...จากถ้อยคำที่ง่ายๆ แต่มีความหมาย แตะต้องหัวใจ ถูกบรรจงแต่งขึ้นเป็นบทเพลง ที่เรียงร้อยด้วย ท่วงทำนองของดนตรี แต่ละชิ้น อย่างกลมกลืน ละเอียดอ่อน และนำเสนอต่อสาธารณชน ด้วยมุมมองใหม่ ที่ให้ความหวัง กำลังใจ จนใครๆ อยากจะรู้จักผู้แต่งเพลง Live and Learn "ล้มบ้างก็ได้"
Boyd

ชีวิน โกสิยพงษ์ หรือบอย จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัย UCLA (University of California at Los Angeles) ปัจจุบันอายุ 36 ปี เริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ พออายุ 12 ขณะที่เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 ก็เริ่มแต่งเพลงให้กับการ์ตูนที่ตนเองเขียนขึ้น แต่มาจับเป็นอาชีพ เป็นเรื่องเป็นราวก็เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมานี้เอง

ครอบครัวที่อบอุ่น ของบอย โกสิยพงษ์

บอยเกิดในครอบครัวที่อบอุ่น มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน ตนเองเป็นคนกลาง แต่ไม่เคยรู้สึกเลยว่า ลูกคนกลางคือลูกที่มีปัญหา เพราะพ่อแม่รักลูกทุกคนเท่ากันหมด
คุณพ่อคุณบอยเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ยอมยกสำนักงานมาไว้ที่บ้าน เพื่อจะได้มีเวลา อยู่ใกล้ชิดครอบครัว คุณแม่จะทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกๆ และดูแลงานบ้านทั้งหมด เมื่อคุณพ่อเสร็จงาน ก็จะเข้าครัวทำอาหาร คุณแม่ก็จะจัดเตรียมผลไม้ วันละหลายๆ กิโล แช่เย็นไว้ให้ลูกๆ

สำหรับคุณบอยแล้ว พ่อกับแม่คือคนคนเดียวกัน ท่านคือผู้ให้ ให้ความรัก ความเข้าใจ ให้ทุกอย่าง เท่าที่กำลังความสามารถของท่าน จะให้ได้ และให้กับลูกทุกๆ คน ท่านกลัวลูกจะขาด จึงคอยเติมให้เต็มเสมอ คุณพ่อคุณแม่จะกอด และบอกรักลูกๆ อยู่บ่อยๆ มีบางครั้งเช่นกันที่ลูกๆ ถูกตี ก็เป็นการทำโทษเพื่อสอนให้ลูกรู้ผิดรู้ถูก
แม้คุณบอยจะไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง ถ้าเทียบกับพี่น้องคนอื่นๆ ซึ่งเรียนได้ A หมดทุกคน บางคนเป็นนักเรียนทุน สำหรับคุณบอยแล้ว หากในชั้นเรียนมีนักเรียน 50 คน ก็จะสอบได้ที่ 49 หรือ 50 แต่นั่นไม่ใช่ปมด้อย ไม่ใช่เรื่อง ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องโกรธ หรือลงโทษ กำลังใจที่ได้รับจากท่านทั้งสอง รวมทั้งคำพูดหนุนใจ ทำให้คุณบอย สามารถที่จะผ่านชีวิตวัยเด็ก และวัยรุ่นมาได้อย่างมีความสุข
เพราะว่าพอผมเอาผลสอบไปให้แม่ดู แม่บอกว่าดีนะที่สอบผ่าน เอาแค่ผ่านก็พอแล้ว คือพี่น้องผมเก่งหมดเลย มีผมที่เรียนไม่ได้เรื่อง ก็กลัวพ่อแม่เสียใจ ผมถามแม่ว่า บอยเรียนไม่เก่ง เป็นอะไรรึเปล่า แม่บอก บอยเรียนไม่เก่งเหมือนแม่ ไม่เป็นไรหรอก ตอนเด็กๆ แม่ก็เรียนไม่ได้เรื่องเหมือนกัน
แล้วถ้าตกล่ะพ่อ ผมชอบมีคำถามกับพ่อ ถ้าสอบตกทำยังไง พ่อผมจะบอกว่า ตกก็ตกไม่เป็นไร จะได้แน่นๆ กว่าพ่อจะไปเรียน ป.1 ก็ตั้ง 10 ขวบ ความรักที่คุณพ่อคุณแม่ มีต่อกัน และมีต่อลูกๆ ตลอดจนแบบอย่างที่ดี ที่ท่านทั้งสอง แสดงให้เห็นทุกวัน ส่งผลให้ลูกๆ ทุกคนเติบโต มาอย่างมีคุณภาพ ผูกพันกัน ช่วยเหลือกัน

ภาพประทับใจที่คุณบอยไม่เคยลืมเลย คือ ตอนนึกถึงคุณพ่อยิ้ม ตาหยีเลยครับ อย่างตอนนั้นผมอายุ 21 ผมอกหัก พ่อแม่มากอดผม ผมเห็นพ่อร้องไห้กับผม ท่านรู้ว่าผมเสียใจ ท่านสงสารผม ผมเลยบอกกับตัวเองว่า จะไม่ทำให้ท่านต้องร้องไห้อีก พ่อแม่จะพูดอยู่เรื่อยเวลาที่ลูกคนไหนไม่สบาย ท่านจะพูดว่า ถ้าพ่อแม่ เจ็บแทนได้จะขอเจ็บแทน ให้ความเจ็บทุกอย่างมาตกอยู่กับพ่อแม่แทนลูก

บทเพลงแห่งรัก

สิ่งที่คุณบอยได้พบได้เห็นและได้รับตั้งแต่เด็กๆ คือครอบครัวที่อบอุ่น ความรัก ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ตลอดจนคำพูด คำสอนของคุณพ่อคุณแม่ ส่งผลต่อการแต่งเพลง ซึ่งออกมาในแนวรักบวก
พ่อผมจะพูดเสมอว่าให้เอาใจเขามาใส่ใจ เราคือ ถ้าเราไม่ชอบ คนอื่นก็ต้องไม่ชอบ ดังนั้นเราทำงานทำการอะไร ก็ต้องมั่นใจแน่นอน แล้วว่า ถ้าเป็นเรา เราจะชอบ เราก็จะได้ทำแต่ ของที่ดีออกไป
เพราะผมไม่ชอบรัก ลบ พวกเพลงที่ฟังแล้วไปโทษคนโน้นคนนี้ หรือหดหู่ เพลงแนวอกหักของผมก็มี แต่จะเป็นอกหักที่ไปลงที่ตัวเราเอง เราไม่ได้ไปลงที่คนอื่น ไม่โทษคนอื่น

นอกจากเพลงรักแล้วแนวเพลงของคุณบอยยังเป็นเพลงที่ให้กำลังใจ เช่นเพลง ล้มบ้างก็ได้ เป็นเพลงที่ได้แรงบันดาลใจ จากคำหนุนใจของคุณพ่อ เมื่อครั้งคุณบอยเป็นเด็ก เรียนหนังสือไม่เก่ง คุณพ่อสอนคุณบอยว่า คนเราล้มบ้างก็ได้ แพ้บ้างก็ได้ คุณบอยเล่าว่า เมื่อไม่นานมานี้ได้อ่านหนังสือพิมพ์ พบว่าเด็กบางคน ที่ผิดหวังในความรัก ก็รับไม่ได้ ต้องยิงกัน ฆ่ากัน ก็เลยนำคำสอนของพ่อ มาแต่งเพลงให้พวกเขา สอนเขาว่าชีวิตไม่ได้มีแต่ชัยชนะเท่านั้น มีพ่ายแพ้ ผิดพลาดเพื่อจะแก้ไขและลุกขึ้นมาต่อสู้ใหม่
สำหรับเพลง Live And Learn เป็นอีกเพลงหนึ่ง ที่ได้นำมาจากคำสอนของคุณพ่อ ที่ให้เราเรียนรู้ ที่จะอยู่กับสิ่งที่เรามี แล้วหาวิธีที่จะมีความสุขกับมันให้ได้ อันนี้ก็เป็นคำพูดของพ่อผมฮะ ตอนที่ผมรู้สึกแย่ ผมจะถามว่า ถ้าเป็นพ่อ พ่อจะทำยังไง พ่อก็บอกว่า ต้อง Learn how to live in it. ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่เรามี แล้วก็หาวิธีที่จะมีความสุขกับมันให้ได้ บอยทำได้ ชีวิตบอยก็มีความสุข
มีหลายคนสงสัยว่า การเป็นศิลปินนักแต่งเพลงนั้น กว่าจะได้เพลงแต่ละเพลงออกมา นอกจากจะต้องอาศัย ประสบการณ์ชีวิตแล้ว คงต้องใช้เวลา สถานที่ อารมณ์ที่พิเศษ เพื่อเอื้อให้เป็นบทเพลงที่ไพเราะ แต่สำหรับคุณบอยแล้ว เพลงทุกเพลงมันเกิดขึ้นจากภายใน หลายครั้งที่คุณบอยเอง ก็ยังสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร แทบไม่เชื่อว่า เป็นฝีมือของตนเอง เพราะการแต่งเพลงของคุณบอย ไม่เคยมีปัญหา แต่มันจะหลั่งไหลออกมาไม่หยุด สามารถเขียน เนื้อและทำนองได้ทันที เหมือนกับมีอะไรบางอย่างคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ เคยคิดว่ามีเทวดามาบอกให้ จนกระทั่งคุณบอย ได้มาพบพระเจ้า จึงเข้าใจกระจ่างว่า สติปัญญาความ สามารถทั้งหมดที่คุณบอยมีอยู่นั้น พระเจ้าเป็น ผู้ประทานให้

พระวจนะ แห่งความจริง

เกือบ 10 ปีที่คุณบอยทุ่มเทชีวิต และหัวใจให้กับงานเพลง แต่ปรากฏว่าในระยะหลังๆ งานที่เคยทำด้วยหัวใจ และความรัก กลับแปรเปลี่ยนไป เป็นการทำงานเพื่อความสำเร็จ เพื่อเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง เพื่อตนเอง จะเป็นคนเก่ง ขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อคุณบอย ได้มีโอกาสทบทวน ถึงเป้าหมายชีวิตของตน ก็พบว่า เขากำลัง พลาดจากความตั้งใจเดิม จึงรู้สึกสับสนและท้อถอย แต่ก็ไม่อาจออกจากอาชีพนี้ไปได้ เพราะมีครอบ ครัวที่ต้องเลี้ยงดู

ดังนั้นเมื่อประมาณต้นปี 2545 ที่ผ่านมา คุณบอยจึงตัดสินใจ พาครอบครัวไปอเมริกา อยู่ที่นั่นได้ 2 เดือนก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น จนกระทั่ง ได้พบกับเพื่อนรุ่นพี่ คนอเมริกัน ชื่อ David (เดวิด) เป็น Producer อยู่ที่อเมริกา และรู้จักกันตั้งแต่คุณบอยอายุ 19 ปี
คุณบอย ได้เล่าถึงความไม่สบายใจ ให้เดวิด ฟัง ที่น่าแปลกคือ เมื่อเดวิดฟัง แล้วกลับฝากพระคัมภีร์มาให้อ่าน ในครั้งแรกคุณบอยเอง ไม่คิดที่จะอ่าน แต่ได้รับการขอร้องให้เก็บไว้ และขอให้นำกลับมาเมืองไทยด้วย เพื่อเมื่อใดที่อยากจะอ่าน จะได้มีอ่าน และในวันหนึ่ง คุณบอยตัดสินใจ ที่จะเปิดพระคัมภีร์เล่มนั้นออกอ่าน

โอเค ผมยอมเปิดพระคัมภีร์อ่านก็เพราะเดวิด...คืนนั้นผมอธิษฐานว่า ถ้าสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้ากำลังจะสอนผม หรือว่าจะทำอะไรกับผม ช่วยให้ผมเชื่อโดยการเปิดครั้งเดียวนะ เพราะถ้าหลังจากนี้ ผมจะไม่เชื่อแล้ว ช่วยนำทางผมไปด้วย ผมก็เปิด แล้วผมก็อ่านเจอตรงนี้ You must trust God (จงวางใจในพระเจ้า) ผมขนลุกซู่ทั้งตัวเลย เหมือนสิ่งที่ผมแบกไว้ในใจ และไม่กล้าบอกใคร ว่าผมมีกิเลสในการแต่งเพลง ผมรู้สึกสิ่งนั้นถูกยกหายออกไปหมดเลย

ผมรู้สึกเชื่อขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ยังไงช่วยให้ผมเชื่อได้เรื่อยๆ ช่วยทำให้ผมเข้มแข็ง จากนั้นวันรุ่งขึ้นและทุกๆ วัน ผมคุยกับ Bible (พระคัมภีร์) ตลอดเลย ผมเปิดอ่าน ผมมีคำถาม ผมถาม Bible จะตอบผมได้ ผมก็ทำงานได้อย่างมีความสุข เพราะว่าเหมือนกับผมไม่ต้องไปคิดแล้วว่า ผมจะมีตำแหน่ง จะเก่งขึ้นไหม? หรืออะไรอย่างนี้ ผมแต่งเพลง เพราะมีความสุขอย่างเดียว โอ้โฮ... ก็ไหลยาวมาเลย แบบไม่มีปิดก๊อกซักที ทุกวันมีเรื่องอะไรผมก็ปรึกษา Bible หมด ผมได้รับคำตอบที่ทำให้ผมมั่นใจได้ว่า พระเจ้าดูแล ผมตลอดเวลา
คุณบอยได้ให้ความคิดเห็นว่า ในการอ่านพระคัมภีร์นั้นเราจำเป็นต้องใช้ใจอ่าน ต้องเปิดใจก่อน จึงจะเข้าใจ แม้ว่าจะได้ยินเรื่องราวของพระเจ้ามาตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ไม่เคยเข้าใจ จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พอเปิดใจ พระเจ้าก็พูดกับตนเองทันที คริสเตียนแต่ละคน ทำหน้าที่เป็นเพียงเครื่องมือ หรือสื่อที่จะนำพระคัมภีร์ออกไป ให้กับคนต่างๆ ที่ยังไม่มีโอกาสรู้จักพระเจ้า เหมือนเช่นเดวิดได้ทำหน้าที่นี้กับเขา ตัวพระคำของพระเจ้า มีฤทธิ์เดชอยู่แล้ว หากผู้ใดเปิดใจอ่านก็จะพบและสัมผัสกับพระเจ้าได้

ชีวิต ที่เปลี่ยนไป หลังจากได้สัมผัสพระเจ้า

ทุกวันนี้แม้คุณบอยได้สัมผัสกับความจริงในพระวจนะของพระเจ้าแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ เพราะว่าเราเกิดมาเพื่อมีปัญหาอยู่แล้ว พระคัมภีร์ก็บอก เกิดมาเพื่อเจอปัญหา พระเจ้า จะทดสอบเราตลอดเวลา เพียงแต่บางที ด้วยความเป็นเนื้อหนังของเรา มันก็จะงงๆ ว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ก็ปรึกษาพระเจ้า... อีกอย่างหนึ่งก็คือ ทำให้คนรอบข้าง เริ่มเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของผม จากการที่ผมเป็นคนยึดติดมากกับหลายๆ เรื่อง เขาก็เริ่มเห็นกันว่า อย่างน้อยเมื่อเรานับถือพระเจ้านี่ เราก็มีความสุขในชีวิตมากขึ้น เพราะผมเป็นคนยึดติด กับครอบครัวมาก การแก่ การป่วยไข้ของคนในครอบครัวเป็นเรื่องใหญ่ของผม เป็นความทุกข์ที่ผม ไม่เคยรับได้เลยในอดีต

หุ้นส่วนผมที่ชื่อ สุกี้ แต่ก่อนก็เป็นคนไม่มีศาสนาอยู่แล้ว พอผมมาเป็นคริสเตียน เขาก็บอกว่า ทำให้ดูปีหนึ่ง แล้วจะเชื่อว่าคุณนับ ถือจริง คือผมนับถือจริงๆ มากขึ้นทุกวันๆ จนสุกี้เขาเห็น ความเปลี่ยนแปลงของผม คือเขาเห็นชีวิตผมมีความสุขมากขึ้น รับได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็เริ่มที่จะถามผมถึงศาสนา ผมก็ดีใจที่พระเจ้าให้เราแสดงตรงนี้
เช่นเดียวกันกับคุณแม่ ที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ในชีวิตของคุณบอย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่ท่านกำลังเจ็บป่วยอยู่ คุณบอย จะอธิษฐานกับท่านทุกวัน ซึ่งท่านก็ยินดี และเต็มใจอย่างยิ่ง และตอบรับว่า อาเมน ทุกครั้ง คุณบอยปรนนิบัติ ดูแลท่านอย่างดีที่สุด จนสุขภาพของท่านดีขึ้น แม้จะยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม

สำหรับคุณบอยแล้ว พระคัมภีร์และพระสัญญาของพระเจ้าทุกตอน เป็นจริงในชีวิต แม้จะถูกเขียนมากว่า 2000 ปีแล้ว แต่ก็สามารถตอบคำถาม ตอบปัญหาในปัจจุบันได้ การที่คนเราสามารถ มีพระคัมภีร์เป็นของตนเอง ในภาษาที่ตนเองเข้าใจได้ จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเราไม่จำเป็นต้องรอ จนถึงวันอาทิตย์ เพื่อไปโบสถ์ เพื่อฟังว่าพระเจ้าจะพูดอะไร กับเรา แต่สามารถพูดคุยกับพระเจ้า ผ่านพระคัมภีร์ได้ นอกจากนี้ คุณบอยยังพบว่าพระเจ้า เป็นเจ้าของเสียงเพลงและเสียงดนตรี ซึ่งทำให้คุณบอยภูมิใจ และดีใจที่ได้ทำงานด้านดนตรี และใช้ความสามารถทางดนตรี ในการสื่อความรักของพระเจ้า และความหวังใจ กำลังใจให้แก่ผู้ฟัง

" แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถปกป้องพวกท่าน ไม่ให้สะดุดล้ม
และ ทรงตั้งพวกท่าน อยู่เบื้องหน้า พระสิริของพระองค์
โดยปราศจากตำหนิ และมีความร่าเริงยินดี
ขอพระเกียรติ ความยิ่งใหญ่ อานุภาพ และสิทธิอำนาจ
จง มีแด่พระเจ้าองค์เดียว ผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเรา
โดยทางพระเยซู คริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา
ทั้งในอดีตกาล ปัจจุบันกาล และในกาลต่อๆ ไปเป็นนิตย์
..... อาเมน " [ ยูดา 24-25 ]



บอย โกสิยพงษ์
นักร้องและนักแต่งเพลง


ที่มา : nakhonsawanchurch.net
 

ความคิดเห็น