บทเรียนราคาแพง... ลูกเป็นออทิสติกเพราะ ”ทีวี”

 

บทเรียนราคาแพง... ลูกเป็นออทิสติกเพราะ ”ทีวี”

โดย: เดือนวารี

เรื่องเล่าจากทางบ้านฉบับนี้เป็นประสบการณ์จากคุณแม่ที่ได้รู้ว่าลูกเป็นเด็กออทิสติกจากการเลี้ยงดูของเธอเอง ซึ่งสุดท้ายเธอก็สามารถปรับวิธีการเลี้ยงลูกจนพัฒนาการของลูกดีขึ้นค่ะ


ลูก 1 ขวบ 6 เดือนแล้วยังไม่พูด

ฉันไปเดินเล่นในงานลดราคาสินค้าเด็ก ได้พบคุณหมอจากโรงพยาบาลจุฬาฯ ที่บรรยายเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาการของเด็ก ฉันไม่ทันได้ฟังการบรรยายตั้งแต่ต้น แต่ก็มีโอกาสได้สอบถามคุณหมอสั้นๆ เกี่ยวกับลูกชายที่ยังไม่พูด คุณหมอฟังเรื่องราว จึงแนะนำให้รีบพบแพทย์

ฉันรู้สึกตกใจมาก เพราะคุณหมอบอกว่า ปัจจุบันนี้มีโรคที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่พูดช้าอยู่หลายอย่าง อย่านิ่งนอนใจ หลังจากวันนั้นฉันกังวลมาก อยากพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อตรวจอาการตามที่ได้รับคำแนะนำ แต่สามีไม่เห็นด้วย เนื่องจากเขาคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลูกยังพูดไม่ได้ในวัยเพียงแค่ 1 ขวบ 6 เดือน แต่ด้วยความเป็นแม่ ฉันอยู่อย่างกังวลใจอย่างนี้ไม่ได้แน่ๆ

ฉันเริ่มเครียดและวิตกมากขึ้น พยายามหาข้อมูลเกี่ยวข้องกับกรณีการพูดช้าของเด็ก แต่ยิ่งอ่านหรือรู้มากเท่าไหร่ความเครียดก็ยิ่งเพิ่มพูนมากเท่านั้น

ฉันเริ่มรู้สึกว่า ลูกมีพฤติกรรมหลายอย่าง คล้ายๆ กับเด็กที่เป็นโรค ออทิสติก เพราะลูกชอบดูโลโก้ บางครั้งเดินเป็นวงกลม เวลาเรียกมักไม่ค่อยหัน เหมือนได้ยิน แต่ทำเป็นไม่สนใจ ฉันบอกสามีว่า ถึงเวลาที่เราจะต้องไปพบคุณหมอแล้ว แต่สามีก็ยังคงคัดค้าน และเห็นว่าเป็นเรื่องตลก แต่ที่สุดเมื่อฉันได้ปรึกษาคุณแม่ ก็ตัดสินใจแอบสามี ไปพบคุณหมอด้านพัฒนาการเด็กโดยตรงแห่งหนึ่ง คุณหมอสอบถามข้อมูล ลักษณะพฤติกรรมของลูก ประวัติของลูกชายและบุคคลอื่นในครอบครัวอย่างคร่าวๆ คุณหมอพูดคุยกับลูกชายพร้อมทั้งหยิบของเล่นไม้มาเล่นไปเรื่อยประมาณ 3-4 ชิ้น ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พร้อมกับให้บทสรุปว่า ลูกชายเป็นออทิสติก

หัวใจฉันเหมือนหยุดนิ่ง

น้ำตา ของฉันและคุณแม่ไหลไม่หยุด หัวใจของฉันเหมือนหยุดนิ่ง สมองคิดไปต่างๆ นานาพร้อมกับคำถามโง่ๆ ฉันถามคุณหมอไปว่า “แล้วไม่ทราบว่า คุณหมอเคยวินิจฉัยผิดบ้างไหมคะ” คำตอบที่ได้กลับมาคือ “ไม่มี” น้ำตาของฉันเหมือนเปิดก๊อกเลย ฉันยิ่งกลัวมากขึ้น กอดลูกอย่างแน่น “แม่ขอโทษ..”

คุณหมอแนะนำว่า ให้พยายามพูดกับลูกมากขึ้น ชัดๆ ช้าๆ เมื่อลูกต้องการอะไร ให้นำของสิ่งนั้นมาวางอยู่ข้างๆ มุมปาก และพูดว่าสิ่งนั้นคืออะไร ช้าๆ ชัดๆ บ่อยๆ เล่นของเล่นให้เป็นชิ้นๆ โดยเฉพาะของเล่นฝึกพัฒนาการ คุณหมอยังแนะนำอีกว่า ควรให้เด็กได้รับการฝึกพูดจากนักฝึกพูดโดยตรงด้วย

ฉันผิดที่การเลี้ยงดู

วันนั้น ฉันขับรถกลับบ้านอย่างไม่เป็นสุข กลับมาเล่าให้พี่สาวและสามีฟัง ไม่มีใครเชื่อ ฉันจึงพาลูกชายไปหาคุณหมออีก 3 แห่ง คุณหมอแต่ละแห่งมีวิธีการตรวจที่แตกต่างกัน แต่โดยส่วนใหญ่ก็จะใช้การพูดคุยกับลูกเพื่อสังเกตพฤติกรรมสลับกับการเล่น เป็นหลักเหมือนๆ กัน

คำตอบที่ฉันได้จากคุณหมออีก 3 แห่ง คือ ลูกชายฉันเป็นแค่เด็กพูดช้า หรืออาจเป็น ออทิสติกเทียม ที่เกิดจากการเลี้ยงดูที่ผิดของตัวฉัน เพราะฉันเริ่มให้ลูกดูทีวีตั้งแต่อายุประมาณ 8 เดือน วันละประมาณ 2-3 ชั่วโมง เนื่องจากฉันเห็นลูกยิ้มและหัวเราะ ดูเขามีความสุข เมื่ออยู่กับทีวี ไม่ทันได้คิดว่าความเข้าใจผิดของฉันมันจะส่งผลกระทบอะไร มารู้ภายหลังว่าเป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก คุณหมอแนะนำว่า ยังไม่ควรให้เด็กเล็กดูทีวี เพราะทีวีคือการสื่อสารทางเดียว (one way communication) เด็กที่ดูทีวีมากๆ จะทำให้เขามีพัฒนาการด้านภาษาช้า และการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ดีนัก เนื่องจากเด็กไม่ต้องตอบโต้กับใคร ทีวีมีแต่ภาพและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทำให้เด็กขาดพัฒนาการ รวมถึงการที่ฉันให้ลูกเล่นของเล่นพร้อมกันหลายๆ ชิ้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะจะทำให้เด็กสับสน วิธีที่ถูกคือ ควรให้ลูกเล่นของเล่นทีละอย่าง ซึ่งจะทำให้เด็กมีสมาธิเพิ่มขึ้น

บทเรียนราคาแพงนี้ ฉันอยากให้คุณพ่อ คุณแม่ ที่เคยมีพฤติกรรมคล้ายๆ กับที่ฉันเคยทำ หรือใครที่กำลังจะให้ทีวีเป็นเพื่อนคู่กายลูก อย่าเลยนะคะ เพราะมันอาจทำให้เด็กปกติคนนึง เกิดความผิดปกติด้านใดด้านหนึ่งได้ ซึ่งคุณพ่อ คุณแม่ คนที่รักเขามากที่สุด จะกลายเป็นผู้ที่หยิบยื่นความผิดปกตินี้ให้กับลูกของคุณเอง

ขอบคุณคุณหมอทุกท่าน ที่ให้คำแนะนำในการเลี้ยงลูกดีๆ มากมาย ขอบคุณกำลังใจทุกวินาทีจากคุณแม่ คุณน้า พี่สาว และสามี ให้ฉันต่อสู้ ขอบคุณคุณหมอท่านแรก แม้คำวินิจฉัยของท่านจะไม่ถูกต้อง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดสำหรับฉัน เพราะข้อสรุปในวันนั้น คือแรงผลักดันที่สำคัญที่สุด ให้ฉันและสามี เปลี่ยนแปลงและปรับวิธีการเลี้ยงดูลูกไปในทางที่ถูกต้อง

วันนี้.. ลูกพูดเยอะมากแล้ว ถามทุกอย่าง ฉันอยากบอกเขาว่า คุณแม่ดีใจจังที่หนูพูดได้แล้ว แม้จะมากไปหน่อยก็ตาม...คุณแม่รักหนูที่สุดในโลกเลย OWNER

จากนิตยสารรักลูกค่ะ

ความคิดเห็น