ผลเสียของการให้อาหารเสริมแก่ทารกก่อนวัยอันควร

 ผลเสียของการให้อาหารเสริมแก่ทารกก่อนวัยอันควร


โดย พญ.ลำดวน นำศิริกุล



การให้อาหารเสริมเร็วเกินไปอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทารกได้ เนื่องจากอาหารที่มีอยู่ในอาหารเสริมนั้นไม่เหมาะสมกับทารก หรือไม่เพียงพอแก่ความต้องการของทารกดังเหตุผลต่อไปนี้


โปรตีน

ปริมาณและคุณภาพของโปรตีนนั้น แปรเปลี่ยนไป ตามประเภทของอาหารเสริม ธัญพืชจะมีโปรตีนร้อยละ 0.9-8.1 กรัม ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่นำมาใช้เป็นส่วนผสม และวิธีการผสมอาหารว่า ชงข้นหรือใส อาหารเสริมธัญพืชที่ประกอบด้วยข้าวสาลี ข้าวโอ๊ตจะมีโปรตีน มากกว่าอาหารเสริมที่ทำจากข้าวถึง 5 เท่า เนื้อและไข่จะเป็นแหล่งอาหาร ที่ให้โปรตีนสูงถึงร้อยละ 20 ของพลังงานที่ได้รับ แต่อาหารประเภทผลไม้ และของหวานส่วนใหญ่จะให้โปรตีนน้อยกว่าร้อยละ 7 ของพลังงานที่ได้รับ ผลไม้จึงให้อัตราส่วนของโปรตีนต่อพลังงานต่ำ เด็กจึงไม่ควรรับประทาน ผลไม้มากเกินกว่าร้อยละ 20 ของพลังงานที่ได้รับทั้งวัน

ในทำนองเดียวกัน โปรตีนที่ได้จากพืชผักและธัญพืช จะมีคุณค่าทางโภชนาการด้อยกว่าโปรตีนจากเนื้อ นม ไข่ การให้พืชผักมากเกินไปอาจมีผลกระทบต่อปริมาณโปรตีนที่ทารกจะได้รับ

นอกจากต้องคำนึงถึงปริมาณและคุณภาพของโปรตีน ที่จะให้ทารกแล้ว ยังต้องคำนึงถึง ขนาดของโปรตีนด้วย เนื่องจาก ในทารกที่อายุน้อยลำไส้ยังพัฒนาไม่เต็มที่ สามารถดูดซึม เอาโปรตีนที่มีโมเลกุลใหญ่เข้าไป แล้วกระตุ้นทำให้เกิด ภูมิแพ้ต่อโปรตีนนั้นได้ เมื่อรับประทานโปรตีนนั้นเข้าไปอีกในภายหลัง

 
คาร์โบไฮเดรต

คาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในอาหารเสริมนั้นส่วนใหญ่คือ แป้ง ดังที่กล่าวมาแล้ว ทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 3 เดือน อาจมีความจำกัด ในการย่อยอาหารแป้ง ดังนั้นการให้อาหารเสริมก่อนวัยอันควร อาจก่อให้เกิดผลเสีย เนื่องจากการไม่ย่อยทำให้ทารกเป็นโรคขาดอาหาร ท้องร่วง และการดูดซึมอาหารบกพร่อง นอกจากนี้แป้งในอาหารเสริม ระดับอุตสาหกรรม บางชนิดถูกดัดแปลง เพื่อมิให้เกิดความข้น ขุ่น เหนียว เพื่อให้ทารกรับประทานได้ง่าย และยอมรับอาหารเสริมชนิดนั้น แต่ขบวนการดัดแปลงทางอุตสาหกรรม อาจทำให้มีสารเคมีที่เป็นอันตราย ตกค้างอยู่ในอาหารเสริม และแป้งที่ถูกดัดแปลงไปนั้นอาจมีปฏิกิริยากับเกลือแร่ ทำให้ลำไส้ของทารกดูดซึมเกลือแร่ได้น้อยลง
 

ไขมัน

ทารกแรกเกิดจะมีเอนไซม์ที่ย่อยไขมันต่ำ ทำให้ทารก ดูดซึมไขมันได้ไม่ดีนัก ดังนั้นการให้อาหารเสริมที่มีไขมันมาก หรือน้อยเกินไปอาจก่อให้เกิดปัญหา เช่น ถ้าให้อาหารเสริม มากเกินไปจะเกิดอาการถ่ายเป็นไขมันได้
 

ผลเสียอื่น ๆ

- ในทารกที่ยังไม่สามารถชันคอได้ และระบบการกลืนอาจยัง ทำงานไม่สัมพันธ์กันดี ทำให้มีโอกาสสำลักเอาอาหารเสริม ที่ไม่ได้บดละเอียดเข้าไปในหลอดลมได้

- ถ้าหากอาหารเสริมที่ให้พลังงานสูง อาจทำให้ทารกมีโอกาส เป็นโรคอ้วนสูง เนื่องจากทารกที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในระยะแรก จะเนื่องมาจากการเพิ่มจำนวนของเซลล์ไขมัน ทำให้ทารก มีจำนวนไขมันมาก ก็จะมีโอกาสอ้วนง่ายขึ้นในอนาคต
 
- การกินอาหารเสริมจะทำให้ทารกอิ่มนาน มีช่วงห่างระหว่าง มื้ออาหารนานขึ้น อาจมีผลทำให้เกิดการปรับตัวทำให้ไขมันในเลือดสูงขึ้น

- อาหารเสริมบางชนิดเติมเกลือลงไปเพื่อปรุงรส อาจมีผลส่ง เสริมให้ทารกนั้นมีแนวโน้มเป็นโรคความดันโลหิตสูง

- อาหารเสริมที่มีน้ำตาลปรุงรสหวาน อาจมีผลกระทบต่อนิสัย การบริโภคของทารก ทำให้ทารกติดการรับประทานอาหารรสหวาน และมีโอกาสฟังผุได้ง่าย

- ทารกอาจย่อยและดูดซึมสารอาหารบางชนิดที่มีอยู่ใน อาหารเสริมไม่ได้ ทำให้เกิดปัญหาโรคท้องร่วงและ ภาวะการดูดซึมบกพร่องได้

- อาหารเสริมบางชนิดอาจมีคุณค่าทางโภชนาการไม่ครบถ้วน ทำให้ไตทำงานหนัก
 

กล่าวสรุป

อาหารเสริมคือ อาหารอื่นๆ ทุกชนิดนอกเหนือไปจากนมแม่ ควรให้ทารกเมื่อมีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป เพื่อให้สารอาหารอื่นๆ เสริมนมแม่ เพื่อฝึกนิสัยการกิน และเพื่อเสริมการพัฒนาระบบการกิน ย่อยและดูดซึมอาหาร ตลอดจนพัฒนาการด้านอื่นๆ ของทารกให้เหมาะสม การให้อาหารเสริมทารกอย่างถูกต้องเหมาะสม จะช่วยให้ทารกเจริญเติบโต และพัฒนาการสมวัย แต่การให้อาหารเสริมก่อนวัยอันควร อาจก่อให้เกิดผลเสียได้มากมาย หลักเกณฑ์การเลือกใช้ ประเภทของอาหารเสริม ควรต้องพิจารณาส่วนประกอบคุณค่าทางโภชนาการ ให้เหมาะสมกับความต้องการการทำงานของระบบทางเดินอาหารของทารก ว่าสามารถดูดซึมอาหารนั้นได้ดีเพียงใด

ที่มา...นิตยสารแม่และเด็ก

ความคิดเห็น